Reventon
Would you like to react to this message? Create an account in a few clicks or log in to continue.

FanCulb *~ LiverpOoL

2 posters

Go down

FanCulb *~   LiverpOoL Empty FanCulb *~ LiverpOoL

ตั้งหัวข้อ  Admin Tue May 19, 2009 2:40 pm

ขอรายงานตัวเลยนะคับ สำหรับผมเด็กหงส์


คับที่เปงเด็กหงส์ เข้ามากระทู้ข่าวคราวกานหน้านี้เลยนะคับ

เชื่อได้ว่าต้อมีกระทู้ของแฟนผีแน่นอน

สำหรับ ปีนี้ไม่เปงรัยคับ ที่ไมได้แชมป์ ปีหน้าเอาใหม่ Sad

วันเกิดปีที่ 115 ของหงส์แดง




YOU'LL NVER WALK ALONE !!!
FanCulb *~   LiverpOoL Liverpool1





สโมสรลิเวอร์พูลฉลองครบรอบการก่อตั้งสโมสรเป็นครั้งที่115 เมื่อวันที่ 15 มีนาคม แฟนลิเวอร์พูลส่วนใหญ่นั้นจะทราบความเป็นมาของสโมสรในหลังจากช่วงศตวรรษที่สิบเก้า
หรือหลังจากลิเวอร์พูลแยกออกมาจากเอเวอร์ตัน สโมสรร่วมเมือง โดยนาย John Houlding ได้ตัดสินใจที่จะนำทีมไปเล่นยังสนามแห่งใหม่ที่ชื่อว่า”แอนฟิลด์”
FanCulb *~   LiverpOoL John
John Houlding
FanCulb *~   LiverpOoL Liverpool

(สำเนาการเปลี่ยนชื่อสโมสรเป็นลิเวอร์พูล)

หลังจากนั้นสโมสรก็เริ่มเป็นรูปธรรม โดยมีการจัดตั้งขึ้นในวันที่15 มีนาคม 1892ในบ้านของนาย Houldingที่ตั้งอยู่บนถนนที่ชื่อว่าแอนฟิลด์ เขาและเพื่อนสนิทของเขาที่ออกมาจากเอเวอร์ตันได้ร่วมกันก่อตั้งสโมสรลิเวอร์พูลขึ้นมา โดยมีนาย วิลเลี่ยม อี บาร์คเลย์ บุคคลที่คลั่งในฟุตบอลมากได้ให้ความเห็นว่าชื่อของสโมสรนั้นควรจะเป็น “ลิเวอร์พูล”

+++++++++++++++
ประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ของลิเวอร์พูล มีต้นกำเนิดที่ค่อนข้างจะแปลก เพราะว่าพวกเขานั้นก่อกำเนิดเกิดมาจาก เอฟเวอร์ตัน สโมสรลูกหนังคู่รักคู่แค้น คู่ต่อสู้ และเพื่อนบ้านแห่งถิ่นเมอร์ซี่ไซด์โดยแท้จริง แถมยังเกิดจากความขัดแย้งภายในสโมสรเอฟเวอร์ตันเสียด้วยซ้ำ FanCulb *~   LiverpOoL Liverpool

.......เรื่องเริ่มมาจากคณะเทศมนตรีเมืองลิเวอร์พูลได้ลงมติให้มีการสร้างโบสถ์และโรงเรียนวันอาทิตย์ขึ้นมาใหม่ แทนโบสถ์เก่า 3 โบสถ์ที่ชำรุด และก็ได้กำหนดให้สร้างที่ ถ.เบร็คฟิลด์ นอร์ธ ในเขตเอฟเวอร์ตัน ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ.1870 มหาวิหาร เซนต์ โดมิงโก ก็ได้แล้วเสร็จกลายเป็นที่ชุมนุมของชาวคริสต์ในเมืองลิเวอร์พูล

.......จากนั้นก็ได้ก่อให้เกิดกิจกรรมกีฬา โดยเฉพาะกีฬาคริกเก็ต ที่เป็นที่นิยมกันของชาวอังกฤษ และได้เจริญงอกงาม จนกระทั่งกลุ่มเด็กหนุ่มได้มีการขอร้องต่อเจ้าคณะสงฆ์ที่มีอำนาจเต็มในกิจกรรมต่าง ๆ ของ เซนต์ โดมิงโก ให้จัดตั้งสโมสรฟุตบอลขึ้น ดังนั้นจึงก่อกำเนิดสโมสรลูกหนัง เซนต์ โดมิงโก ขึ้น ในปี ค.ศ.1878 ซึ่งเป็นช่วงเวลาการบูมของวงการลูกหนังอังกฤษเลยก็ว่าได้
.......และเพียงเวลาแค่ปีเดียวเท่านั้น จากการสร้างสโมสรที่ดี เซนต์ โดมิงโก จึงกลายเป็นขวัญใจของชาวเมอร์ซี่ไซด์ แฟนบอลของทีมก็ได้แผ่ขยายวงกว้างออกไป และในที่สุด เซนต์ โดมิงโก ก็เลยเปลี่ยนชื่อกลายเป็นสโมสรฟุตบอลเอฟเวอร์ตันไปในที่สุด
.......จากการแข่งขันฟุตบอลทั่ว ๆ ไป ซึ่ง สโมสรเอฟเวอร์ตัน ได้ใช้ สแตนลี่ย์ ปาร์ค สวนสาธารณะของเมืองเป็นสนามเหย้า ปี ค.ศ.1882 สมาคมฟุตบอลแลงคาเชียร์ ได้ออกกฎว่า สโมสรฟุตบอลทุกสโมสร จะต้องมีสนามเป็นของตัวเอง และจากการประชุมของกรรมการสโมสร โดยมี จอห์น โฮลดิ้ง (ต่อมาบุคคลผู้นี้กลายเป็นนายกเทศมนตรีเมืองลิเวอร์พูล ผู้เป็นตัวจักรสำคัญในการสร้างเอฟเวอร์ตันและลิเวอร์พูล) เป็นแกนหลัก ก็ตกลงเช่นที่ว่างที่ ถ.พริออรี่ อยู่พักหนึ่ง เมื่อมีการทวงคืน จอห์น โฮลดิ้ง จึงติดต่อกับ จอห์น โอเรล ในการเช่าที่ทำสนามฟุตบอล ดังนั้นสโมสรเอฟเวอร์ตันจึงย้ายสนามมาอยู่ ณ ถ. แอนฟิลด์ ในปี 1884
.......แต่แล้วเส้นทางก็ไม่ได้ราบรื่นเหมือนอย่างที่คิด เมื่อเกิดการแตกหักกันระหว่างกรรมการบริหารสโมสร ซึ่งจากเหตุการณ์นั้น จอห์น โอเรล ได้สั่งให้สโมสรเอฟเวอร์ตันย้ายก้นตัวเองออกจาก สนามแอนฟิลด์ ในขณะที่ จอห์น โฮลดิ้ง ก็อยู่ข้างเดียวกับเพื่อนของเขา ท่ามกลางเสียงตรงข้ามกว่า 279 เสียง ดังนั้น เอฟเวอร์ตันจึงย้ายออกจากแอนฟิลด์ มุ่งตรงสู่ กูดิสันปาร์ค หลังจากกาประชุมครั้งสุดท้าย ในวันที่ 15 มีนาคม 1892 และก่อตั้งทีมภายใต้การสนับสนุนของชาวเมืองลิเวอร์พูลอย่างยิ่งใหญ่จวบจนปัจจุบันนี้


[

Admin
Admin
Admin

จำนวนข้อความ : 183
Join date : 13/05/2009

https://reventon.thai-forum.net

ขึ้นไปข้างบน Go down

FanCulb *~   LiverpOoL Empty LiverpOoL FanCulb

ตั้งหัวข้อ  Admin Tue May 19, 2009 2:49 pm

บุรุษผู้ให้กำเนิด Liverpool
เซอร์จอห์น โฮลดิ้ง / Sr.John Houlding



......นับตั้งแต่เมื่อมีมติอันแตกแยกระหว่างคณะกรรมการสโมสรเอฟเวอร์ตัน กับ จอห์น โฮลดิ้ล และ จอห์น โอเรลล์ เจ้าของสนามแอนฟิลด์ ทำให้ทีมฟุตบอลเอฟเวอร์ตันต้องย้ายออกจาก แอนฟิลด์ ทันทีทันใด ในวันที่ 18 มีนาคม 1892 ข้ามไปสู่ กูดิสันพาร์ค พร้อมทั้งเงินทุนในการสร้างสนามจำนวนหนึ่ง และได้รับการสมทบจากแฟนบอลและชาวเมืองอีกจำนวนหนึ่ง

.......ทางด้านของ คิงจอห์น, จอห์น โฮลดิ้ง (ซึ่งภายหลังได้รับตำแหน่งเซอร์ และเป็นนายกเทศมนตรีเมืองลิเวอร์พูล) ก็พยายามอย่างหนัก และด้วยความเป็นคนไม่ยอมแพ้ เขาจึงรวบรวมเอาคนที่ยังมีความคิดว่า แอนฟิลด์ เป็นที่สำหรับทีมฟุตบอลของเมืองลิเวอร์พูลมารวมกัน แล้วใช้สิทธิ์ของสโมสรคริกเก็ต ก่อตั้งสโมสรฟุตบอลขึ้นมาใหม่อีกสโมสรหนึ่ง โดยใช้ชื่อเมืองมาตั้งชื่อสโมสร นั่นก็คือ สโมสรลิเวอร์พูล ในเดือนพฤษภาคม 1892 กรุยทางเข้าสู่ลีกอังกฤษในอนาคต

.......แต่ในช่วงขวบปีแรก พวกเขาก็ได้รับการปฏิเสธในการเป็นสมาชิกลีกของประเทศ เนื่องจากยังไม่มีความเชื่อใจในความมั่นคงของสโมสรเพียงพอ ดังนั้นปัญหาแรกของพวกเขา โดยเฉพาะ จอห์น โฮลดิ้ง คือ ทำอย่างไรเขาถึงจะสร้างทีมที่มีความมั่นคงและเสถียรภาพขึ้นมาได้

.......คำตอบโดนเฉลยมาด้วย บุรุษหนุ่มนามว่า จอห์น แม็คแคนน่า


FanCulb *~   LiverpOoL Mckenna2
.......จอห์น แม็คแคนน่า บุรุษผู้เป็นเพื่อนกับ จอห์น โฮลดิ้ง มาอย่างยาวนาน เขาคือผู้ที่สนใจในศาสตร์ลูกหนังอย่างแท้จริง และเป็นผู้ที่หยั่งรู้ว่าจะหานักเตะฝีเท้าดีได้ที่ไหน

.......จอห์น โฮลดิ้ง ดำเนินการให้ลิเวอร์พูล เข้าสู่ลีก แลงคาเชียร์ อย่างเร็วที่สุดเพื่อสร้างสถานะของสโมสรทางสังคมให้เป็นที่ยอมรับ ส่วน จอห์น แม็คแคนน่า มีหน้าที่สร้างทีมให้แข็งแกร่งให้เร็วที่สุด เขาตัดสินใจเดินทางสู่สก็อตแลนด์ทันที....เพื่อขุดเจาะเพชรมาเจียระไนให้โลดแล่นสู่ถนนลูกหนังในอังกฤษ

.......และตำนานบทแรกก็เริ่มบันทึกทันที เมื่อลิเวอร์พูลลงสนามพร้อมสร้างผลงานที่สวยหรูด้วยนักเตะที่ไม่ใช่ชาวอังกฤษและชาวลิเวอร์พูลแม้แต่คนเดียว ฉายาแรกของทีมที่ได้มานั้นก็คือ ทีม แม็ค-ลิเวอร์พูล เพราะว่านักเตะ 8 คน ใน 11 คน ของทีม ชื่อขึ้นหน้าด้วยแม็คทั้งหมด ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ว่าเป็นคนสก็อตแลนด์แน่นอน (รวมไปถึงผู้จัดการทีม จอห์น แม็คแคนน่าอีกคนหนึ่ง) คือ ดันแคน แม็คลีน, จอห์น แม็คไบรด์, มัลคอล์ม แม็ควีน, ฮิวจ์ แม็คควีน, แม็ตต์ แม็คควีน, จอห์น แม็คคาร์ทนี่ย์, บิล แม็คโอเว่น และ โจ แม็คกี

FanCulb *~   LiverpOoL 1893-94A6

.......บันทึกประวัติศาสตร์หน้าแรกของสโมสร การลงสนามนัดแรก 1 กันยายน 1892 ลิเวอร์พูลพบกับ ร็อตเตอร์แฮม ทาวน์ หงส์แดงประกาศศักดาคว้าชัยนัดแรกด้วยสกอร์มโหฬารถึง 7-1 และ มัลคอล์ม แม็ควีน คือผู้ที่ทำประตูแรกให้หงส์แดง

.......และด้วยฝีเท้าของนักเตะภายใต้การคุมทีมของจอห์น แม็คแคนน่า สร้างผลงานได้อย่างยิ่งใหญ่ และดูดีกว่าเอฟเวอร์ตัน และเม็ดเงินที่ซื้อหน้าหนังสือพิมพ์ในอังกฤษของ จอห์น โฮลดิ้ง ที่คอยโปรโมทสโมสรตลอดเวลา ทำให้สโมสรลิเวอร์พูลได้รับความสนใจจากแฟนบอลชาวลิเวอร์พูลมากขึ้นกว่าเอฟเวอร์ตัน

.......เพียงแค่ปีแรกเท่านั้น สโมสรลิเวอร์พูล คว้าดับเบิ้ลแชมป์มาสู่สโมสรได้สำเร็จ โดยคว้าตำแหน่งชนะเลิศลีกแลงคาเชียร์ ที่เชือดเฉือนด้วยประตูได้เสีย แข่ง 22 นัด ชนะ 17 เสมอ 3 แพ้เพียงแค่ 2 นัด ยิง 66 ประตู เสีย 19 ประตู จากนั้นก็คว้าอีกแชมป์หนึ่งก็คือ ลิเวอร์พูล คัพ ที่ทีมรวมลิเวอร์พูล ชนะ ทีมผสม เอฟเวอร์ตัน ในนัดชิงชนะเลิศได้สำเร็จ ได้ 2 แชมป์ 2 ถ้วยรางวัลมาประดับสโมสรอย่างสมเกียรติ

.......ฤดูกาลถัดมา จอห์น แม็คแคนน่า นอกจากในตำแหน่งผู้จัดการทีมลิเวอร์พูลแล้ว เขายังเป็นเลขาธิการสโมสร ก็ได้ส่งโทรเลขไปยังสภาฟุตบอลแห่งอังกฤษเพื่อขอเข้าร่วมการแข่งขันฟุตบอลลีก ดิวิชั่น 2 ซึ่งก่อนหน้านั้นมีทีมถอนตัวไปด้วยเรื่องของเงินทุนถึง 2 ทีมด้วยกัน พวกเขาก็ได้รับคำตอบว่า "ลิเวอร์พูลได้รับการลงมติยอมรับเข้าลีกอังกฤษ ขอให้มาที่ลอนดอนโดยด่วนเพื่อดำเนินการทางเอกสาร"
[/size]
Admin
Admin
Admin

จำนวนข้อความ : 183
Join date : 13/05/2009

https://reventon.thai-forum.net

ขึ้นไปข้างบน Go down

FanCulb *~   LiverpOoL Empty FanCulb *~ LiverpOoL

ตั้งหัวข้อ  Admin Tue May 19, 2009 2:54 pm

.......ข่าวนี้สร้างความตื่นเต้นแก่สโมสร นักเตะ และแฟนบอลเป็นอย่างยิ่ง
FanCulb *~   LiverpOoL Ger
สตีเฟ่น เจอร์ราร์ด กัปตันทีม
กำเนิดตำนานหงส์แดง

หลังจากที่ทีมลิเวอร์พูลถูกก่อตั้งได้ไม่นาน ก็ได้มีการจัดการแข่งขัดนัดอุ่นเครื่องซึ่งเป็นการลงสนามนัดแรกของทีมลิเวอร์พูลกับทีมร็อตเตอร์แฮม ซึ่งผลการแข่งขันปรากฏว่า ทีมลิเวอร์พูลชนะทีมถึง 7-1 และลิเวอร์พูล ได้ลงแข่งขันฟุตบอลลีกของแคว้น แลงคาเชียร์ ปรากฏว่าลิเวอร์พูลลงแข่งทั้งหมด 22 นัด ชนะ 17 นัด และได้แชมป์ไปครองสำเร็จซึ่งส่งผลให้พวกเขาส่งทีมสมัครเข้าร่วมการแข่งขันฟุตบอลลีกและได้รับการยอมรับและถูกคัดเลือกให้ลงเล่นในดีวิชั่น 2 ในฤดูกาล 1893-1894 ทีมจึงได้เลือกสัญลักษณ์ของทีมเป็น นกลิเวอร์เบิร์ด ( Liverbird ) ซึ่งเป็นนกแถบทะเลไอริช บริเวณแม่น้ำเมอร์ซี่ย์ โดยที่ปากนกคาบใบไม้ไว้

ทีมลิเวอร์พูลได้ลงทำการแข่งขันอย่างเป็นทางของในฟุตบอลลีกในวันที่ 2 กันยายน 1893 โดยทีมลิเวอร์พูลออกไปเยือนทีมมิดเดิลส์โบรซ์ ไอโรโนโปลิส และเรื่องเหลือเชื่อก็ได้เกิดขึ้นคือทีมลิเวอร์พูลได้แชมป์มาครองโดยที่พวกเขาไม่แพ้ทีมใดเลยตลอดทั้งฤดูกาล ( ทั้งหมด 28 นัด ) แต่ว่าการคว้าแชมป์ลีกดิวิชั่น 2 ในตอนนั้นยังไม่ได้เลื่อนชั้นโดยทันที ต้องไปแข่งนัดชิงดำกับทีมอันดับสองก่อน โดยทีมอันดับสองในขณะนั้นคือ ทีมนิวตัน ฮีธ ( ทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดในปัจจุบัน ) และได้ลงแข่งที่สนามของทีมแบล็คเบิร์น ซึ่งทีมลิเวอร์พูลเอาชนะทีมนิวตัน ฮีธไปด้วยผล 2-0 และได้เลื่อนชั้นสู่ดิวิชั่น 1 ในที่สุด
[size=9]
ที่มาของคำว่า "The Kop"
เมื่อลิเวอร์พูลเลื่อนชั้นขึ้นมาเล่นในดิวิชั่น 1 ต้องพบกับมหาอำนาจลูกหนังของอังกฤษในยุคแรกไม่ว่าจะเป็น เปรสตัน,ฮัดเดอร์สฟิลด์,แบล็คเบิร์น และที่สำคัญคือ เอฟเวอร์ตันทีมร่วมเมืองในขณะนั้น โดยศึกดาร์แมตช์นัดแรกเกิดขึ้นในวันที่ 16 ต.ค. 1894 ระหว่างทีมลิเวอร์พูลกับเอฟเวอร์ตันโดยลิเวอร์พูลออกไปเยือน ปรากฏว่าลิเวอร์พูลแพ้ 3-0 ต่อหน้าแฟนบอลกว่า 40000 คน และในการเจอกันที่แอนฟิลด์ทำได้แค่เสมอ 2-2

ในปีแรกของลิเวอร์พูลในดิวิชั่น 1 จบฤดูกาลด้วยอันดับสุดท้ายของตารางและต้องกลับไปเล่นในดิวิชั่น 2 แต่เพียงแค่ปีเดียวก็กลับขึ้นมาเล่นในดิวิชั่น 1 อีกครั้ง

ภายใต้การนำทีมของผู้จัดการทีมที่ชื่อ ทอม อัตสัน การกลับขึ้นมาครั้งนี้ลิเวอร์พูลอยู่ในดิวิชั่น 1 นานกว่าเดิมและยังประสบความสำเร็จคว้าแชมป์ดิวิชั่น 1 ในฤดูกาล 1900-1901 เป็นครั้งแรกอีกด้วย แต่อย่างไรก็ตามแฟนบอลของลิเวอร์พูลต้องดูทีมของตนเองเล่นในดิวิชั่น 2 อีกครั้งในปี 1904 แต่ลิเวอร์พูลก็สามารถเลื่อนชั้นขึ้นมาและคว้าแชมป์ลีกดิวิชั่น 1 ได้อีกครั้งในฤดูกาล 1905-1906 ในช่วงนี้ฉายา The Kop ได้ถือกำเนิดขึ้นมาเมื่อลิเวอร์พูลสร้างสนามใหม่ และตั้งชื่ออัฒจันทน์หลังประตูว่า สปิออน ค็อป โดยนักข่าวของหนังสือพิมพ์ลิเวอร์พูลเดลี่โพสต์ ที่มีชื่อว่า เออร์เนสต์ เอ็ดเวิร์ตส์ เป็นผู้เสนอชื่อนี้ขึ้นมา

สำหรับคำว่า "สปิออน ค็อป" เป็นชื่อของเนินเขาที่นาทาลในสงครามบัวร์ที่แอฟริกาใต้เมื่อปี 1900 แปลว่า "จุดที่ได้เปรียบ" สงครามครั้งนั้นอังกฤษส่งทหารเข้าร่วม 300 นายและได้เสียชีวิตเกินครึ่งหนึ่งโดยส่วนมากจะเป็นทหารจากเมืองลิเวอร์พูล จึงตั้งชื่ออัฒจันทน์เพื่อเป็นเกียรติประวัติความกล้าหาญ และใครที่ได้ไปดูการแข่งขันฟุตบอลบริเวณอัฒจันทน์นั้นจะเรียกตัวเองว่า "The Kop" จึงเป็นฉายาของลิเวอร์พูลมาจนถึงปัจจุบันนี้

Admin
Admin
Admin

จำนวนข้อความ : 183
Join date : 13/05/2009

https://reventon.thai-forum.net

ขึ้นไปข้างบน Go down

FanCulb *~   LiverpOoL Empty FanCulb *~ LiverpOoL

ตั้งหัวข้อ  Admin Tue May 19, 2009 2:54 pm

รอยมลทิน
ในปี 1914-1915 ประวัติศาสตร์ต้องจารึกอีกครั้งเมื่อทีมลิเวอร์พูลและทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดพากันล้มบอลเพื่อที่ทีมจะได้ไม่ตกชั้น โดยตอนนั้นทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดต้องชนะทีมลิเวอร์พูล หลังการแข่งขันผลปรากฏว่าทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดชนะทีมลิเวอร์พูล 2-0 ทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดรอดพ้นจากการตกชั้นแต่ไม่รอดพ้นจาการสอบสวนจากฟุตบอลลีก 8 นักเตะจากทั้งสองทีมดังโดนห้ามแข่งตลอดชีวิต ในเวลาต่อมาเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 หลังสงครามโลกโทษต่างๆถูกยกเลิกเหตุผลเพราะว่าทีมต้องฟื้นฟู ซึ่งตอนนั้นประธานฟุตบอลลีกอังกฤษ คือ จอห์น แมคเคนน่า (อดีตประธานสโมสรลิเวอร์พูล ) เป็นผู้ที่มีส่วนผลักดันให้โทษแบนเป็นโมฆะด้วย

รากฐานความสำเร็จ
ในช่วงทศวรรษที่ 20-50 ทีมลิเวอร์พูลยังไม่ใช่ทีมที่ยิ่งใหญ่ มีผลงานขึ้นๆลงๆระหว่างดิวิชั่น 1 กับดิวิชั่น 2 อยู่ประจำ จนถึงปี 1945 สงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติลงทีมลิเวอร์พูล ได้ผู้จัดการทีมชื่อ จอร์ช เคย์ เพียงปีเดียว เคย์ ก็สามารถนำทีมลิเวอร์พูลเป็นแชมป์ดิวิชั่น 1 หลังจากนั้นทีมลิเวอร์พูลก็ขึ้นๆลงๆระหว่างดิวิชั่น 1 กับดิวิชั่น 2 อีกครั้ง จนปี 1954 ทีมลิเวอร์พูลต้องลงไปเล่นดิวิชั่น 2 และครั้งนี้อยู่นานกว่าปกติ ผู้จัดการทีมหลายต่อหลายคนไม่อาจพาทีมกลับมาดิวิชั่น 1 ได้ จนกระทั่งการมาของผู้จัดการทีมที่ชื่อว่า บิลล์ แชงค์ลี่ย์

ทีมลิเวอร์พูลได้ลงไปเล่นในดิวิชั่น 2 นานถึง 7 ฤดูกาล โดยเป็นยุคของแชงค์ลี่ย์ 2 ฤดูกาล ก่อนที่แชงค์ลี่ย์จะพาทีมเลื่อนชั้นสู่ดิวิชั่น 1 ในฐานะแชมป์ดิวิชั่น 2 ในปี 1962 ปรัชญาการทำทีมของแชงค์ลี่ย์ คือ ฟุตบอลง่ายๆ เน้นการผ่านและรับบอลอย่างแม่นยำ เล่นกันเป็นทีมมากกว่าความสามารถเฉพาะตัว ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของทีมจวบจนปัจจุบัน

ไร้เทียมทาน
หลังจากที่อังกฤษได้แชมป์โลก บิลล์ แชงค์ลี่ย์ ได้พาทีมลิเวอร์พูลคว้าแชมป์ยูฟ่า คัพ ในปี 1972 และในปีถัดมา(ปี 1973) บิลล์ แชงค์ลี่ย์ ประกาศลาออกจากตำแหน่ง โดยมีบ๊อบ เพสลี่ย์ มือขวาของเขาก้าวขึ้นมารับงานแทน เขาใช้เวลาเพียง 4ปี ก็พาทีมคว้าแชมป์ยูโรเปี้ยน คัพเป็นครั้งแรกได้สำเร็จ ในปีต่อมาเพสลี่ย์ได้พาทีมประกาศศักดาอย่างยิ่งใหญ่โดยการพาทีมคว้าดับเบิ้ลแชมป์ ( แชมป์ดิวิชั่น 1 และแชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ ) จากนั้นเพสลี่ย์ก็ยังพาทีมคว้าแชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ ได้อีก 2 ครั้ง คือในปี 1981 และ 1984 ก่อนที่เค้าจะลาออกจากตำแหน่ง

โศกนาฏกรรม
หลังจากที่เพสลี่ย์ลาออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีม ผู้ที่เข้ามารับหน้าที่ต่อจากเขาคือ โจ เฟแกน ในระยะเวลาเพียงปีเดียวเขาได้พาทีมลิเวอร์พูลเข้าชิงถ้วยยูโรเปี้ยน คัพกับทีมยูเวนตุสที่สนามเฮย์เซล สเตเดี้ยม ในกรุงบรัสเซลล์ประเทศเบลเยี่ยมโดยที่ยูเวนตุสเป็นฝ่ายชนะทีมลิเวอร์พูล 1-0 จากจุดโทษของมิเชล พลาตินี่ แต่ในการแข่งขันครั้งนี้ได้เกิดโศกนาฏกรรมเกิดขึ้น ทำให้แฟนบอลเสียชีวิต 39 คน เฟแกนจึงตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีม ทำให้ เคนนี่ ดัลกลิช ซึ่งเป็นผู้เล่นในขณะนั้นก้าวขึ้นมาเป็นผู้เล่น-ผู้จัดการทีมเป็นคนแรกของสโมสร และในปีแรกเขาก็พาทีมคว้าดับเบิ้ลแชมป์ได้สำเร็จ แต่ตอนนั้นลิเวอร์พูลไม่ได้ไปเล่นถ้วยยุโรปอันเนื่องมาจากถูกแบนจากเหตุการณ์โศกนาฏกรรมครั้งนั้นนั่นเอง

ความหวังและการรอคอย..
เมื่อ ดัลกลิช ลาออกจากตำแหน่ง ดูเหมือนว่าลิเวอร์พูลจะไม่ประสบความสำเร็จในลีกสูงสุดอีกเลยนับตั้งแต่ปี 1990 เป็นต้นมาแม้จะเปลี่ยนผู้จัดการทีมอีกสองคนไม่ว่าจะเป็น รอย อีแวนส์ หรือเชราร์ อุลลิเยร์ ถึงแม้ว่าอุลลิเยร์จะพาทีมคว้าทริปเปิ้ลแชมป์ในปี 2001 ( ลีก คัพ,เอฟเอ คัพและยูฟ่า คัพ ) ก็ตาม ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่ความสำเร็จที่แฟนบอลรอคอยสักเท่าไหร่

หลังจากที่อุลลิเยร์ โดนปลดจากตำแหน่ง ลิเวอร์พูลได้ผู้จัดการทีมคนใหม่ คือ ราฟาเอล เบนิเตช กุนซือชาวสเปนผู้นี้ เป็นผู้ที่แฟนบอลได้ฝากความหวังไว้เป็นอย่างมาก
และเพียงปีแรก“ราฟา” ก็ทำให้หงส์แดงเป็นแชมป์ยุโรป!!!
นับจากวันนั้นถึงวันนี้ หงส์แดง คือความภาคภูมิใจของขาวอังกฤษในเวทีลูกหนังยุโรป
FanCulb *~   LiverpOoL Lfc2
ภาพเคยชินของหงส์แดงในปัจจุบัน
Admin
Admin
Admin

จำนวนข้อความ : 183
Join date : 13/05/2009

https://reventon.thai-forum.net

ขึ้นไปข้างบน Go down

FanCulb *~   LiverpOoL Empty Re: FanCulb *~ LiverpOoL

ตั้งหัวข้อ  Admin Tue May 19, 2009 2:56 pm

--== The Kop: ที่มา ความหมาย และการเปลี่ยนแปลง ==--
ไม่มีแฟนกีฬาฟุตบอล คนไหนไม่รู้จักคำว่า The Kop
(แม้ บางคน อาจเผลอนึกว่าสะกดด้วย The cop ไปบ้าง ก็ตาม FanCulb *~   LiverpOoL Emo11)


Liverpool: Anfield Road

FanCulb *~   LiverpOoL 1137820642



แต่...
The Kop ในความหมายของ แฟนฟุตบอลที่เชียร์ทีมหงส์แดง ลิเวอร์พูล ทั่วโลกในปัจจุบันนั้น
มันมีที่มา ที่ไป อย่างไร...


น่าสนใจ ใช่น้อยนะครับ...

ในกระทู้ห้องศุภชลาศัย มีกระทู้ที่ตั้งเพื่อถามคำถามนี้มาหลายครั้ง
และ ทุกครั้งก็มี "ผู้รู้" เข้ามาช่วยตอบเสมอ

ในฐานะที่ ถือตนเอง ว่าเป็น The Kop คนหนึ่ง แบบที่ เงยหน้าไม่อายฟ้า และ ก้มหน้าไม่อายดิน
ผมเองก็ขอรวบรวม ความเห็นที่ สรุปความหมายของคำว่า The Kop นี้ไว้ใน Blog นี้นะครับ

===============================


------------ ที่มา ของคำว่า The Kop ------------


ขอเริ่มต้น แบบภาษาอังกฤษก่อนนะครับ

The Kop at Anfield dates back to 1905-06. At the end of that season which saw Liverpool lift the second of their league championships the directors at the club decided to reward the loyalty of the fans by building a new brick and cinder banking at the Walton Breck road end of the ground.

It was christened as the Spion Kop by Ernest Jones in memory of the many scousers who died in battle over a hill in South Africa by the same name during the Boer War.

In 1928, The Kop was altered to terracing and a massive roof added to protect the thousands of fans who gathered to watch their beloved team play. Other teams named their stands as the Kop but the one at Anfield was the original and the best.

The terrace housed the greatest fans in the game and it was often thought that the fans were worth a goal start to the reds. They would try and suck the ball in if their team was losing and in one of the Kop's famous nights they put the fear of God into Inter Milan in a European semi-final.

The Kop was turned into a shrine in 1989 to the 96 fans who were innocently killed at Hillsborough. The fight for Justice still goes on today more than 10 years after the disaster.

After the disaster new guidelines were issued about terracing at football games which brought to an end standing at top flight games. And so in 1994 the Kop changed from a terrace to an all-seater Kop Grandstand. The Kop's Last Stand came against Norwich City in May 1994 and Jeremy Goss went down in history as the last player to score in front of the famous terrace.

Pieces of the Kop were put up for charitable sale when the terrace was demolished and some can still be bought in aid of the Forget-Me-Not Campaign.

จากคุณ : golfs2000 - [ 26 พ.ค. 48 15:11:32 ]


และนี่คือภาคภาษาไทย แบบไม่ตรงกันกับข้างบนนัก
แต่ ได้ความหมายที่ครบถ้วน

"The Kop"
เมื่อลิเวอร์พูลเลื่อนชั้นขึ้นมาเล่นในดิวิชั่น 1 ต้องพบกับมหาอำนาจลูกหนังของอังกฤษในยุคแรกไม่ว่าจะเป็น เปรสตัน,ฮัดเดอร์สฟิลด์,แบล็คเบิร์น และที่สำคัญคือ เอฟเวอร์ตันทีมร่วมเมืองในขณะนั้น โดยศึกดาร์แมตช์นัดแรกเกิดขึ้นในวันที่ 16 ต.ค. 1894

ระหว่างทีมลิเวอร์พูลกับเอฟเวอร์ตันโดยลิเวอร์พูลออกไปเยือน ปรากฏว่าลิเวอร์พูลแพ้ 3-0 ต่อหน้าแฟนบอลกว่า 40,000 คน และในการเจอกันที่แอนฟิลด์ทำได้แค่เสมอ 2-2

ในปีแรกของลิเวอร์พูลในดิวิชั่น 1 จบฤดูกาลด้วยอันดับสุดท้ายของตาราง และต้องกลับไปเล่นในดิวิชั่น 2 แต่เพียงแค่ปีเดียวก็กลับขึ้นมาเล่นในดิวิชั่น 1 อีกครั้ง

ภายใต้การนำทีมของผู้จัดการทีมที่ชื่อ ทอม อัตสัน การกลับขึ้นมาครั้งนี้ลิเวอร์พูลอยู่ในดิวิชั่น 1 นานกว่าเดิม และยังประสบความสำเร็จคว้าแชมป์ดิวิชั่น 1 ในฤดูกาล 1900-1901 เป็นครั้งแรกอีกด้วย

แต่อย่างไรก็ตามแฟนบอลของลิเวอร์พูลต้องดูทีมของตนเองเล่นในดิวิชั่น 2 อีกครั้งในปี 1904 แต่ลิเวอร์พูลก็สามารถเลื่อนชั้นขึ้นมาและคว้าแชมป์ลีกดิวิชั่น 1 ได้อีกครั้งในฤดูกาล 1905-1906

ในช่วงนี้ฉายา The Kop ได้ถือกำเนิดขึ้นมาเมื่อลิเวอร์พูลสร้างสนามใหม่ และตั้งชื่ออัฒจันทร์หลังประตู
ว่า สปิออน ค็อป โดยนักข่าวของหนังสือพิมพ์ลิเวอร์พูลเดลี่โพสต์ ที่มีชื่อว่า เออร์เนสต์ เอ็ดเวิร์ตส์ เป็นผู้เสนอชื่อนี้ขึ้นมา

สำหรับคำว่า "Spion Kop -- สปิออน ค็อป" เป็นชื่อของเนินเขาที่ นาทาล ในสงครามบัวร์ที่แอฟริกาใต้เมื่อปี 1900 แปลว่า "จุดที่ได้เปรียบ"

สงครามครั้งนั้นอังกฤษส่งทหารเข้าร่วม 300 นาย และได้เสียชีวิตเกินครึ่งหนึ่ง โดยส่วนมากจะเป็นทหารจากเมืองลิเวอร์พูล จึงตั้งชื่ออัฒจันทร์เพื่อเป็นเกียรติประวัติความกล้าหาญ

และใครที่ได้ไปดูการแข่งขันฟุตบอลบริเวณอัฒจันทน์นั้นจะเรียกตัวเองว่า "The Kop" จึงเป็นฉายาของลิเวอร์พูลมาจนถึงปัจจุบันนี้
(จนในปัจจุบัน มีการอนุมานไปทั่งโลก ว่าแฟนลิเวอร์พูล ไม่ว่าส่วนใด ไม่เฉพาะแต่คนที่ไปนั่งในอัฒจันทร์นี้ ก็ถือว่าเป็น The Kop ไปหมดแล้ว...)


จากคุณ : คนอยากอ้วน ชวนกินเบียร์ - [ 26 พ.ค. 48 15:16:18 A:202.188.224.28 X: TicketID:045752 ]

-----------------
Admin
Admin
Admin

จำนวนข้อความ : 183
Join date : 13/05/2009

https://reventon.thai-forum.net

ขึ้นไปข้างบน Go down

FanCulb *~   LiverpOoL Empty FanCulb *~ LiverpOoL

ตั้งหัวข้อ  Admin Tue May 19, 2009 2:57 pm

และนี่คือ สมรภูมิที่ว่านั้น (ภาพโดยคุณ Pinch Me หลานน้อยน่าหยิกประจำกลุ่มชาวหงส์แดง...)

FanCulb *~   LiverpOoL 1137818505

Spion Kop ราวปี 1950 ช่วงนั้นอัฒจันทร์ในอังกฤษจะเป็นตั๋วยืนเกือบทุกที่นั่ง ทำให้สนามจุคนได้เยอะ เมื่อเทียบกับปัจจุบัน เพราะยืนเบียดๆๆกัน แบบสนามกีฬาชนบทบ้านเรา

เฉพาะอัฒจันทร์ฝั่ง The Kop นี้
สามารถจุคนมายืนอัดกันได้ที่ 24,000 คนเลยทีเดียว


ด้วยการออกแบบที่มีหลังคาขนาดใหญ่คลุมเหนือฝั่งอัฒจันทร์ เอื้อต่อการสะท้อนเสียงให้ก้อง และกลุ่มผู้คนหลากหลาย ที่มาเชียร์ทีมด้วยใจ

ทำให้เสียงร้องที่ออกมาจากอัฒจันทร์ฝั่งนี้ มีเสียงที่ ดัง มากและเป็นที่กล่าวขวัญมากที่สุด

(จริงๆแล้ว หลายทีมในยุโรป ก็มีอัฒจันทร์ที่ใช้ชื่อ Kop แต่ ก็เป็นที่ยอมรับกันว่า
ชื่ออัฒจันทร์ The Kop ที่โด่งดังที่สุด นั้น ตั้งอยุ่ที่ไหน .. FanCulb *~   LiverpOoL Emo18)

คุณ Pinch Me บอกว่า Kopites (ชื่อเรียก พวกกองเชียร์ทั้งหลาย ที่เชียร์บนอัฒจันทร์ฝั่ง The Kop) ของ Liverpool นอกจากจะเสียงดังที่สุดแล้วยังแต่งตัวดีที่สุดด้วย

FanCulb *~   LiverpOoL 1137818724


==============================


------------ Last Day of The Kop ------------


แต่ เรื่องราวเกี่ยวกับ อัฒจันทร์ฝั่ง The Kop อันลือชื่อ ก็มีเรื่องราวในวันสุดท้ายของมัน

30 เมษายน 1994

สโมสรลิเวอร์พูล ตัดสินใจเปลี่ยนแปลงสนาม แอนฟิลด์ ครั้งใหญ่ ด้วยการตัดสินใจปรับอัฒจันทร์ฝั่ง เดอะ ค๊อป ให้มาเป็น แบบที่นั่งทั้งหมด

จากผลพวงของ เหตุการณ์ที่เป็นโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ของสโมสรที่ สนามฮิลส์โบโร่ ในวันที่ 15 เมษายน 1989
ซึ่งเป็นเกมส์การแข่ง เอฟ เอ คัพ รอบรองชนะเลิศระหว่างหงส์แดงและ เจ้าป่า น๊อตติ้งแฮม ฟอเรสต์

กองเชียร์ลิเวอร์พูลเหยียบกันตาย 96 ศพ
ด้วยสาเหตุง่ายๆ "ผู้คนเข้ามาในสนามมากเกินไป" (ตั๋วยืน ไม่มีการควบคุมจำนวนคนที่ดีพอ และแฟนบอล ทะลักเข้าไปมาก) จนมีการดันไป ดันมา บนอัฒจันทร์ ทำให้รั้วกั้นอัฒจันทร์กับส่วนสนามพังลงมา ทับคนตาย

ในวันแห่งการเปลี่ยนแปลงนั้น ก่อนที่สนามจะถูกเปลี่ยนเป็นแบบนั่งทั้งหมด

แม้ว่าเกมวันนั้น กับสโมสร นอริช จะจบแล้ว แต่แฟนๆก็ไม่ยอมกลับบ้าน และนั่งอยู่ในอัฒจันทน์ ที่เขารักกันต่อด้วยความอาลัย

ตำรวจก็เข้าใจและไม่ได้พยายามจะไล่ให้กลับไปเพียงแต่กันให้อยู่ด้านหลังเท่านั้น

แต่
แม้จะมีการเปลี่ยนแปลง และการสูญเสียเอกลักษณ์จากตั๋วยืน เป็นแบบ ที่นั่ง
แต่ คำว่าอัฒจันทร์ฝั่ง The Kop หรือ Spion Kop นี้ ก็ยังเป็นชื่อที่เรียกใช้กันอยู่
ใช้เรียกขานในอัฒจันทร์ฝั่งที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งของโลกต่อไป

---------------------------------------

นี่คือภาพสุดท้ายในวันนั้น (โดยคุณ Pinch Me)

FanCulb *~   LiverpOoL 1137819514


รวมถึงบรรยากาศการเชียร์ ในสนามกว่า 45,000 คน อันสุดเร้าใจ ในวันสุดท้าย ของอัฒจันทร์เก่า

FanCulb *~   LiverpOoL 1137828472


FanCulb *~   LiverpOoL 1137828838

-----------------------------------------------
Admin
Admin
Admin

จำนวนข้อความ : 183
Join date : 13/05/2009

https://reventon.thai-forum.net

ขึ้นไปข้างบน Go down

FanCulb *~   LiverpOoL Empty FanCulb *~ LiverpOoL

ตั้งหัวข้อ  Admin Tue May 19, 2009 2:57 pm

ภาพๆๆ นี้
คือภาพที่เป็นที่รู้จักมากที่สุด และเป็นภาพตำนานของสโมสร ในวันสุดท้ายของอัฒจันทร์

FanCulb *~   LiverpOoL 1137828564

================================

------------ The New Kop Stand ------------

จนมาถึงการเปลี่ยนแปลง และการก่อสร้าง
เพื่อเป็นอัฒจันทร์ที่มีที่นั่งทั้งหมด

FanCulb *~   LiverpOoL 1137828901


เพื่อที่เสริมด้านความปลอดภัยของคนดูให้มากขึ้น ..

FanCulb *~   LiverpOoL 1137828970

และได้กลายมาเป็น The Kop Stand ในปัจจุบัน...
ในรูปนี้ คือการแปรอักษร ตัวเลข 96 ที่ขนาบข้างด้วย เปลวไฟที่ไม่มีวันดับ Eternal Flame สองคบไฟ

ซึ่งก็คือ ตัวเลขและการรำลึกถึงของผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ฮิลส์โบโร่

ที่เป็น ต้นเหตุ แห่งการเปลี่ยนแปลงของอัฒจันทร์ฝั่ง The Kop และ รวมไปถึงสนามแห่งอื่น ในเกาะอังกฤษอีกด้วย

FanCulb *~   LiverpOoL 1137829308

================================


------------ Message From The Boss ------------

รอย อีแวนส์ "บู้ทรูมคนสุดท้าย" ผจก.ทีม ในขณะนั้น
ได้เขียนการรำลึกถึงอัฒจันทร์ ไว้ ในหนังสือโปรแกรมของสโมสร ในเกมส์กับ นอริช วันนั้น

ข้อความมีดังนี้...
---------------------------------------

The last stand
Roy Evans' programme notes from The Kop's last stand

30.04.1994

Heaven was just a No 68 bus ride to the Kop

The 68 bus from Bootle to Stanley Park was full to capacity and it was match day at Anfield. I was seven years old and in charge of my elder brother Malcolm .. he was about to introduce me to the Kop.

Excited? I couldn't hide it. Like everybody else aboard, I was gripped by the passion, the atmosphere and the expectancy. I had never been to Anfield before.

I was decked out in red, of course and I carried a heavy wooden rattle which would be classed as a dangerous object in 1994. Once inside the Boys' Pen, I remember staring in bewilderment at the thousands who congregated under that famous roof. Their feelings for Liverpool were ultimate and their humour was unbeatable.

The best. I joined the Red Army that day.

That was my beginning and I'm sure that every Kopite will have his own similar story to tell. There was the place where we stood too ... a little piece of concrete, we felt, was our own personal property.

I still look at the spot which was mine.

Then came Bill Shankly and the greatest of all manager-supporter relationships began. It will never be equalled. The common bond and honest expression was unique. Fans and manager were inseperable. After today, of course, the old Kop will disapear and the new all-seater stand will be erected. The bricks and mortar will be different, but the people will remain the same. They have been the heartbeat of this Club and vital to its marvellous achievements. The volume of the Kop will be turned up to maximum whenever 100 percent is given on the pitch. It has always been that way.

Meanwhile, we welcome Norwich City on this extra special day and the players are eager to sign off the season in style. Football cannot be stage-managed but we will be aiming for an open thrilling game. Fortunately, our visitors also have a reputation for interesting and attacking football. I hope to see a performance which is fitting on this memorabe occasion.

Finally, it is my duty on behalf of the Club to thank everybody for their wonderful support this season.


=============================
Admin
Admin
Admin

จำนวนข้อความ : 183
Join date : 13/05/2009

https://reventon.thai-forum.net

ขึ้นไปข้างบน Go down

FanCulb *~   LiverpOoL Empty FanCulb *~ LiverpOoL

ตั้งหัวข้อ  Admin Tue May 19, 2009 2:58 pm

------------ เบื้องหลังชื่อเสียงของอัฒจันทร์ คือ ผู้คนบนอัฒจันทร์ ------------

หากถามว่า ทำไมอัฒจันทร์ฝั่งนี้ ซึ่งอยู่หลังประตู (หากดูจากการถ่ายทอดสด อัฒจันทร์นี้ จะอยู่หลังประตูด้านขวามือครับ...) ถึงได้มีชื่อเสียงกว่า อัฒจันทร์อีก 3 ด้านที่เหลือของแอนฟิลด์

คำตอบก็คือ
อัฒจันทร์หลังประตูของแทบทุกสโมสร จะเป็นส่วนที่มีค่าดู ต่ำที่สุดครับ (แน่นอน เพราะเห็นภาพไม่ทั่วทั้งสนามแบบที่เราเห็นจากทีวี)

ส่วนที่จะแพงสุดคือ ตั๋วตรงส่วนกลางสนามครับ เพราะเห็นเกมส์ได้ครบทั่วทั้งสองด้าน

ดังนั้น กลุ่มแฟนบอลที่มีฐานะไม่ใคร่ดีนัก (ลิเวอร์พูลเป็นสโมสรที่มีแฟนมาจากชนชั้นกรรมาชีพ เพราะเมืองเคยมีอุตสาหกรรมหนัก คือ การต่อเรือ มาก่อน...)

เขาเหล่านี้ ก็มักจะเลือกซื้อตั๋วตรงหลังอัฒจันทร์นะครับ เพราะถูก
และ ที่นั่งในแนวนี้ เมื่อก่อนก็จะเป็นตั๋วยืนเป็นส่วนใหญ่

การเชียร์จากกลุ่มคนดูตรงนั้น จึงดูว่า มีการเชียร์ที่เต็มที่
สปิริตการเชียร์ เข้มข้นมากกว่าอัฒจันทร์ฝั่งอื่นๆ
มีการกระทืบเท้า กระโดดโลดเต้นแบบสุดๆๆ และที่แน่นอนทฃคือ การเปล่งเสียงร้องเพลงอันโด่งดัง ที่กลายเป็นสัญลักษณ์ของสโมสรในเวลาต่อมา

แฟนบอลในส่วนนี้
จึงเป็นแฟนบอลที่เชียร์ทีมด้วยใจจริงๆๆ...


FanCulb *~   LiverpOoL Emo18FanCulb *~   LiverpOoL Emo18

FanCulb *~   LiverpOoL 1137820041
Admin
Admin
Admin

จำนวนข้อความ : 183
Join date : 13/05/2009

https://reventon.thai-forum.net

ขึ้นไปข้างบน Go down

FanCulb *~   LiverpOoL Empty Re: FanCulb *~ LiverpOoL

ตั้งหัวข้อ  kenoxyzap Fri May 22, 2009 10:11 pm

ผมกะชอบลิเว่อพูงับเทพดีชนะแมนยูไปกลับ555

kenoxyzap

จำนวนข้อความ : 18
Join date : 13/05/2009

ขึ้นไปข้างบน Go down

FanCulb *~   LiverpOoL Empty Re: FanCulb *~ LiverpOoL

ตั้งหัวข้อ  Admin Fri May 29, 2009 11:26 am

ตกลง เด็กหงส์ มีตู คนเดียวหรอว่ะนิ

Mad Mad Mad Mad Mad Mad Mad Mad Mad
Admin
Admin
Admin

จำนวนข้อความ : 183
Join date : 13/05/2009

https://reventon.thai-forum.net

ขึ้นไปข้างบน Go down

ขึ้นไปข้างบน

- Similar topics

 
Permissions in this forum:
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ